ความหมายของตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต
ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Table, IOT) คือ ตารางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการใช้ผลผลิต ทั้งที่ใช้ไปในขั้นสุดท้าย (Final use of goods and Services) และที่ใช้ไปเพื่อการอุปโภคขั้นกลาง (Intermediate Consumption) ซึ่งการใช้เพื่ออุปโภคขั้นกลาง หรือ Intermediate Inter-Industry demand คือหัวใจสำคัญที่สุดของตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต เพราะเป็นการแสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างสาขาการผลิตต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบและมีความสอดคล้องกัน
ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตถูกคิดค้นและสร้างขึ้นโดย Professor Wassily W. Leontief ในปี ค.ศ. 1951 (รายละเอียดปรากฏใน The Structure of American Economy 1913-1939) แม้ว่าแนวคิดของการเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมหนึ่งไปยังอีกอุตสาหกรรมหนึ่งในระบบเศรษฐกิจได้มีการคิดค้นและอธิบายไว้ก่อนหน้าแล้วก็ตาม แต่ Professor Leontief เป็นคนแรกที่นำแนวคิดของการเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างครบถ้วนโดยการนำมาวางแสดงความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจในรูปของเมทริกซ์ (Matrix) และใช้เทคนิคของ Matrix ดังกล่าววิเคราะห์ความเชื่อมโยงจากคำถามที่ว่าระดับการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในระบบเศรษฐกิจใดเศรษฐกิจหนึ่งจะเป็นเท่าไรเมื่อมีความต้องการบริโภคโดยรวมเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจนั้นทั้งหมด ทั้งนี้แนวคิดของการวิเคราะห์ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตจึงแบ่งออกเป็น 2 ระดับ โดยระดับแรกเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปิด เมื่อมีความต้องการภายในระบบเศรษฐกิจขึ้นก็จะส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจดังกล่าว ส่วนระดับที่สองเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิด เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นภายในระบบเศรษฐกิจ ความต้องการส่วนหนึ่งจะถูกตอบสนองโดยสินค้าและบริการที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
สาขาการผลิตต่าง ๆ ในตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต เป็นการจำแนกสาขาการผลิตตามประเภทรายการสินค้าและบริการ (Commodity) มิใช่การจำแนกตามกิจกรรมการผลิต (Activity) เหมือนในบัญชีการผลิตของบัญชีรายได้ประชาชาติ (System of national account) ในกรณีของประเทศไทย ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตมีการจัดจำแนกสาขาผลผลผลิตเป็น 4 รูปแบบ โดยจำแนกสินค้าและบริการออกเป็น 180 รายการ, 58 รายการ, 26 รายการ และ 16 รายการ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการจัดจำแนกแบบใดก็ตาม รายการในตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต ก็ยังคงครอบคลุมสินค้าและบริการในทุกภาคเศรษฐกิจที่มีอยู่ทั้งหมด ตั้งแต่กลุ่มภาคการเกษตร กลุ่มภาคการอุตสาหกรรม กลุ่มภาคการค้า และกลุ่มภาคการบริการ
ความสัมพันธ์ระหว่างตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตและบัญชีประชาชาติ
ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตมีระบบที่คล้ายคลึงกับบัญชีประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบบัญชีประชาชาติปี ค.ศ. 1968 แต่มีส่วนแตกต่างที่สำคัญ คือ ระบบบัญชีประชาชาติจะอธิบายการใช้ปัจจัยการผลิตขั้นกลางในสาขาการผลิตใด ๆ เป็นมูลค่ารวมทั้งหมด แต่ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตมีการแจกแจงรายละเอียดการใช้ปัจจัยการผลิตในแต่ละสาขาต่าง ๆ ทุกสาขาทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตจึงไม่สามารถทำได้ทุกปี เพราะการรวบรวมข้อมูลปัจจัยการผลิตขั้นกลางต้องใช้การสำมะโนหรือการสำรวจด้วยขนาดตัวอย่างจำนวนมาก มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โดยทั่วไปการจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตจะจัดทำเมื่อเชื่อว่าโครงสร้างการใช้ปัจจัยการผลิตและผลผลิตได้มีการเปลี่ยนแปลงไปดังเช่นในกรณีของประเทศไทยที่จัดทำทุก 5 ปี
ส่วนแตกต่างระหว่างตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต และบัญชีประชาชาติที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การจำแนกสาขาการผลิตในระบบบัญชีประชาชาติเป็นการแยกสาขาตามกิจกรรมการผลิต (Activities) โดยใช้มาตรฐาน ISIC หรือ TSIC (ISIC เป็นมาตรฐานสากล ส่วน TSIC เป็นมาตรฐานของประเทศไทยที่มีการปรับให้สอดคล้องกับระบบกิจกรรมการผลิตของประเทศซึ่งสามารถเทียบเคียงกับ ISIC ได้) ส่วนสาขาการผลิตในตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตนั้นเป็นสาขาการผลิตของสินค้าและบริการ (Commodities) ซึ่งผู้จัดทำสามารถออกแบบการแจกแจงสาขาของ commodities ต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการทราบความเชื่อมโยงระหว่างสาขาเศรษฐกิจการผลิตต่าง ๆ ของประเทศ ในกรณีของประเทศไทย สาขาการผลิตในตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของประเทศที่ละเอียดที่สุด จำแนกออกเป็น 180 สาขา ซึ่งเป็นการออกแบบการจำแนกสาขาการผลิตโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น เริ่มใช้ในการจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 และได้ใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ในกรณีของประเทศไทยยังมีความแตกต่างระหว่างตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต และบัญชีประชาชาติในรายละเอียดบางเรื่องที่สำคัญ เช่น การคิดมูลค่าผลพลอยได้ โดยตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตจะใช้ค่าอัตราสัดส่วนโดยประมาณมาคำนวณโดยรวมโดยไม่คำนึงว่าผลพลอยได้นั้นได้มีการซื้อขายกันจริงหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การคำนวณมูลค่าแกลบและฟางข้าว ซังข้าวโพด เป็นต้น ในขณะที่บัญชีประชาชาติจะคำนวณหาค่าผลพลอยได้เฉพาะที่เกิดขึ้นและมีการซื้อขายจริงเกิดเป็นรายรับขึ้นมาเท่านั้น การวัดมูลค่าภาคบริการในสาขาภัตตาคาร โดยในตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต มูลค่าของผลผลิตทั้งหมด (Gross Output) วัดจากรายรับของภัตตาคารที่รวมรายรับจากการขายอาหารด้วย (อาหารที่ขายจัดเป็น Intermediate Cost ของสาขาภัตตาคาร) ในขณะที่ ในบัญชีประชาชาติไม่รวมค่าอาหาร ดังนั้นมูลค่ารายรับของภัตตาคารคิดเฉพาะบริการเท่านั้น อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วต้องถือว่าระบบของตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตเหมือนกับระบบบัญชีประชาติ
โครงสร้างตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต
สาขาการผลิตที่ 1 | สาขาการผลิตที่ 2 | ⋯ | สาขาการผลิตที่ n | การบริโภคภาค ครัวเรือน |
ค่าใช้จ่ายภาครัฐ | การลงทุน | การส่งออก | การนำเข้า | ผลผลิตรวม | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สาขาการผลิตที่ 1 | ⋯ | |||||||||
สาขาการผลิตที่ 2 | ⋯ | |||||||||
⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ | ⋮ |
สาขาการผลิตที่ n | ⋯ | |||||||||
ค่าตอบแทน แรงงาน |
⋯ | |||||||||
ค่าประกอบการ ส่วนเกิน |
⋯ | |||||||||
ค่าเสื่อมราคา | ⋯ | |||||||||
ภาษีทางอ้อมสุทธิ | ⋯ | |||||||||
ผลผลิตรวม | ⋯ |
ตารางปัจจัยการผลิตขั้นกลาง (Intermediate input) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสาขาการผลิตต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ซื้อสินค้า-บริการ และผู้ขายสินค้า-บริการเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต
- ค่าตอบแทนแรงงาน (Compensation of labor)
- ค่าประกอบการส่วนเกินของผู้ผลิต (Operating surplus)
- ค่าเสื่อมราคาของปัจจัยทุน (Depreciation) เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์สำนักงาน เป็นต้น
- ภาษีทางอ้อม (Indirect tax) เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้า ภาษีสรรพสามิต และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นต้น
- การบริโภคของครัวเรือน (Household consumption)
- การใช้จ่ายของภาครัฐ (Government expenditure)
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐและเอกชน (Investment expenditure)
- การเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลัง (Increase in stock)
- การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ (Export)
- การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ (Import) ซึ่งมีค่าติดลบเนื่องจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศทำให้ความต้องการสินค้าที่ผลิตในประเทศลดลง
คําอธิบายสัญลักษณ์
-
คำศัพท์ทั่วไปด้านเศรษฐศาสตร์
โครงสร้างต้นทุนการผลิต (Structure of production cost) คือ มูลค่าของปัจจัยการผลิตขั้นกลางที่กระจายออกไปตามสาขาผลผลิตต่าง ๆ สะท้อนว่า การผลิตสินค้าหรือบริการในสาขาการผลิตที่สนใจนั้น ใช้วัตถุดิบหลักจากอะไรบ้าง ในสัดส่วนที่เท่าไร ...
อ่านต่อ -
Demand Side
ความต้องการสินค้าขั้นกลางเพื่อการผลิต คือ มูลค่าของสินค้าและบริการที่ถูกใช้เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบหรือใช้ไปในกระบวนการผลิตเพื่อผลิตสินค้าและบริการชนิดอื่น ๆ ...
อ่านต่อ -
Supply Side
การอุปโภคขั้นกลาง (intermediate consumption of industries) หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่ไม่คงทนและบริการเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ โดยที่จะต้องใช้หมดสิ้นไปในกระบวนการผลิตทำให้เกิดเป็นสินค้าและบริการชนิดใหม่ขึ้นมา ...
อ่านต่อ
ความหมายและโครงสร้างของตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต
INDUSTRIES | ||||
---|---|---|---|---|
Agri. Min. Cons. Manu. Trade Trans. Serv. | PCE. PFI. Net Exports Govt. | Total | ||
COMMODITIES |
Agriculture Mining Construction Manufacturing Trade Transportation Services |
INTERMEDIATE INPUTS | FINAL USE |
TOTAL GROSS OUTPUT |
Compensation Taxes Gross Surplus |
VALUE ADDED | GROSS DOMESTIC PRODUCT | ||
Total | TOTAL GROSS OUTPUT |
- การซื้อวัตถุดิบ หรือ ต้นทุนการผลิต พิจารณาจากแนวตั้งของตาราง ซึ่งในแต่ละสาขาการผลิตจะต้องซื้อวัตถุติบเพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้า และต้องจ่ายค่าปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ค่าจ้างแรงงานและเครื่องจักร ภาษีที่เกี่ยวข้อง และอื่น ๆ
- การขายผลผลิต พิจารณาได้จากแนวนอนของตาราง ซึ่งเมื่อพิจารณาในส่วนของแต่ละสาขาการผลิต พบว่า ผลผลิตที่ได้จากการผลิตจะถูกนำไปขายเป็นวัตถุดิบให้แก่สาขาการผลิตอื่น ๆ ตามสัดส่วนความต้องการ และถูกขายเพื่อนำไปบริโภคในระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาคครัวเรือน ภาครัฐภาคต่างประเทศ และภาคการลงทุน